ปี 2025 เศรษฐกิจถดถอย ? ทำไมดอลลาร์ถึงสำคัญและเราควรรู้  

2025-03-14 | ค่างินดอลลลาร์ , ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ , บทความวิเคราะห์ตลาดรายสัปดาห์ , ภาวะเศรษฐกิจถดถอย , ภาษีทรัมป์

คำถามใหญ่ในตลาดตอนนี้คือ ใกล้ถึงภาวะเสรษฐกิจถดถอยแล้วหรือยัง? เพื่อจะตอบคำถามนี้ได้อย่างดีนักลงทุนทั้งหลายต้องคอยจับตาดูเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ตลาดส่งสัญญาณว่า “ปี 2025 เศรษฐกิจถดถอย”  แต่เงินดอลลาร์กลับไม่เป็นเหมือนที่คาดไว้ แทนที่จะเป็นเหมือนที่ปลอดภัยแบบก่อนๆ แต่กลับอ่อนค่าลงมาก ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เพิ่งแตะระดับจุดต่ำสุดมาตั้งแต่พฤศจิกายน 2567 การเดิมพันอัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มสูงขึ้น และตอนนี้เฟด (Fed) ก็เป็นห่วงอนาคตของดอลลาร์เช่นกัน  “ฉันเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับปัจจัยที่อาจคุกคามเงินสำรองของดอลลาร์สหรัฐ”  Fed’s Harker ได้กล่าวไว้  

แล้วอะไรหละที่อยู่เบื้องหลังของการร่วงของเงินดอลลาร์ และมีความหมายต่อนักเทรดและนักลงทุนอย่างไร?  

ต่อให้รักหรือเกลียดทรัมป์แค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบันจากนโยบายของรัฐบาลชุดนี้มีผกระทบต่อตลาดและเป็นส่วนที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง   

นโยบายการคลังที่ต่างจากวาระแรก

ในวาระที่สองนี้ ทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การลดการใช้จ่ายของรัฐบาลและการลดการขาดดุลงบประมาณ แม้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นผลดีต่อความยั่งยืนของหนี้ระยะยาว แต่ก็สร้างความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงเริ่มปรับพอร์ต หันออกจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ย

การคาดการณ์ว่าเฟด (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกกำลังกดดันค่าเงินดอลลาร์ เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ผลตอบแทนจากการถือครองเงินดอลลาร์ก็ลดลงตาม ทำให้เงินดอลลาร์ไม่น่าสนใจเทียบกับสกุลเงินอื่น 

ความตึงเครียดทางการค้า

แนวคิด “America First” ของทรัมป์กลับมาอีกครั้ง ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกเตรียมรับมือกับมาตรการกำแพงภาษีใหม่และสงครามการค้าครั้งใหม่ ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้นักลงทุนเริ่มมองหาสินทรัพย์อื่น  

โดยปกติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย นักลงทุน โดยเฉพาะ “Smart Money” หรือเงินทุนจากนักลงทุนสถาบัน มักจะไหลเข้าสู่ดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ค่าเงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลง 

สิ่งนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งคือ ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงอาจ ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์  

(ภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรนำไปอ้างอิงถึงคำแนะนำทางการเงิน)

ลองย้อนดูวิกฤติที่ผ่านมา วิกฤตการเงินปี 2008 ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) พุ่งขึ้นกว่า 20% ช่วงโควิด-19 ปี 2020 ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 7% ภาวะเศรษฐกิจถดถอยปี 2022 ดอลลาร์แข็งค่าประมาณ 20% ปกติแล้วในอดีต ดอลลาร์ที่แข็งค่ามักเป็นสัญญาณเตือนภาวะถดถอย แต่ รอบนี้แตกต่างออกไป  

แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2025 อาจจะไม่เหมือนอย่างที่เราคิด เพราะปัจจุบัน ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอาจสะท้อนว่า แม้ตลาดจะมีความกลัวสูง แต่ Smart Money ยังคงไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะล่มสลายในเร็ว ๆ นี้ 

เราจึงต้องจับตาการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ให้ดี เพราะมันอาจช่วยให้คุณมองเห็นสัญญาณที่แท้จริงของตลาด  

แม้ตลาดจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตช้าลง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นล่มสลาย (Economic Collapse) ดังนั้น นักลงทุนจึงมองเห็น โอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากดอลลาร์อ่อนค่า คือ  

  • หุ้น: เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง หุ้นสหรัฐฯ มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า บริษัทอเมริกันสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการส่งออกถูกลง 
  • ทองคำ :โดยปกติแล้ว ทองคำเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ เมื่อเกิดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทองคำอาจพุ่งสูงขึ้นอีก 
  • คริปโต: Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ อาจได้รับ แรงหนุนจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง ความกังวลเรื่องเงินเฟ้ออาจลดลง ซึ่งส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ดิจิทัล 

นักลงทุน Smart Money มองเห็นสิ่งนี้ในอนาคต  

Source : Augur Infinity(ภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรนำไปอ้างอิงถึงคำแนะนำทางการเงิน)

เมื่อทุกคนต่างตื่นตระหนกกับ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอยปี 2025” นักลงทุนที่มองทะลุความกลัวกลับเลือก Shorting the Dollar และจนถึงตอนนี้ กลยุทธ์นี้ให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม เนื่องจากดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ร่วงลงไปแล้วกว่า 4% ตั้งแต่ต้นปี 

การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ (USD) ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ตลาดอเมริกาเท่านั้น แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจทั่วโลก 

ตลาดเกิดใหม่ได้ประโยชน์ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า หนี้ของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มักถูกกำหนดเป็นสกุลเงินดอลลาร์ จะจัดการได้ง่ายขึ้น เพราะภาระหนี้ลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินท้องถิ่น 

ค่าเงินในยุโรปและเอเชียแข็งค่าขึ้น เงินยูโร (EUR), เงินเยน (JPY) และ เงินหยวน (CNY) ได้รับกระแสเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากนักลงทุนกำลังมองหาทางเลือกใหม่ในการถือสินทรัพย์ปลอดภัย  

ทุกสายตาจับจ้องไปที่ Jerome Powell และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หากเฟดเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยอย่างจริงจัง ค่าเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงต่อไป ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสปรับตัวขึ้น แต่หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง เฟดอาจต้องชะลอการลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจช่วยพยุงค่าเงินดอลลาร์ให้มีเสถียรภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ตลาดเกิดความผันผวน 

นโยบายของเฟดต้องอาศัยความสมดุล หากลดดอกเบี้ยเร็วเกินไป เงินเฟ้ออาจกลับมาพุ่งสูง แต่หากลดช้าเกินไป อาจสร้างความกังวลในตลาดและนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์เสี่ยง 

สิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณา

  • เฝ้าติดตามตลาดหุ้นในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีความผันผวน 
  • ประเมินทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง หากค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนค่า 
  • จับตาความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดิจิทัลตามสภาพคล่องของตลาด 

ไม่ว่าเศรษฐกิจถดถอยในปี 2025 จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ค่าเงินดอลลาร์ยังคงเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญ ปัจจุบัน การอ่อนค่าของดอลลาร์ได้สร้างข้อสงสัยเกี่ยวกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต 

สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสำคัญ ตามสถิติในอดีต ดอลลาร์ที่อ่อนค่ามักส่งผลดีต่อ ตลาดหุ้น ทองคำ และคริปโตเคอเรนซี 

คำถามที่เหลืออยู่ตอนนี้คือ เฟดจะกล้าลดดอกเบี้ยมากแค่ไหน? และนักเทรดจะยังคงเดิมพันกับการอ่อนค่าของดอลลาร์ต่อไปหรือไม่? 

อ่านบทความวิเคราะห์ตลาดเชิงลึกของ Doo Prime เพิ่มเติมได้ที่นี่


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-10-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ราคาทองคำดิ่งแรง: กระทิงทองสิ้นสุดแล้วหรือยัง 

ราคาทองคำกำลังร่วงลงอย่างรวดเร็ว หลังจากทำกำไรต่อเนื่องมาหลายเดือน ตอนนี้โลหะมีค่าชนิดนี้กำลังเผชิญกับการปรับฐานครั้งใหญ่ นักเทรดทั่วโลกต่างตั้งคำถามเดียวกันว่า ทำไมราคาทองถึงร่วง  ในมุมแรกอาจดูเหมือนเป็นเพียงการย่อตัวของสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป แต่ลึกลงไปใต้พื้นผิวนั้น มีบางสิ่งที่ใหญ่กว่ากำลังเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องระดับโลก ความเชื่อมั่น และพฤติกรรมทางการเงิน  เรามาดูกันว่า อะไรกันแน่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนราคาทองคำในปี 2025 ทำไมจีนและธนาคารกลางหลายประเทศยังคงสะสมทองคำ และการเทขายครั้งนี้เป็นเพียงความตื่นตระหนกระยะสั้น หรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่ลึกกว่านั้น  เรื่องราว 10 ปีของทองคำ: จากสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ สู่สินทรัพย์ค้ำประกันสภาพคล่อง  ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทองคำได้เปลี่ยนจากบทบาทสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อแบบเดิม กลายมาเป็น สินทรัพย์หลักที่ค้ำจุนสภาพคล่องของระบบการเงินโลก  เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ราคาทองคำยังคงทรงตัวอย่างน่าทึ่งตลอดทศวรรษ 2020 แม้ต้องเผชิญกับการขึ้นดอกเบี้ย ดอลลาร์แข็งค่า หรือแม้แต่กระแสของบิตคอยน์ก็ตาม  แต่การร่วงของราคาทองคำในปัจจุบัน ไม่ได้มาจากอุปสงค์ที่ลดลง แต่เกิดจากแรงกดดันด้านสภาพคล่องในระบบการเงินโลก เมื่อนักลงทุนเทขายทองคำ ส่วนใหญ่มักเป็นเพราะต้องการแปลงสินทรัพย์เพื่อชำระมาร์จิ้น หรือปรับพอร์ตเข้าสู่เงินสด ไม่ใช่เพราะพวกเขาหมดศรัทธาในทองคำ  ดังนั้น การเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การล่มของทองคำ” อาจไม่สะท้อนภาพรวมที่แท้จริงของตลาด  มุมมองทองคำและนโยบาย Reverse Repo ของเฟด  ราคาทองคำในตอนนี้สะท้อนสิ่งที่ลึกกว่าการตอบสนองต่อเงินเฟ้อธรรมดา  เมื่อปริมาณเงินในโครงการ Reverse Repo ของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งเป็นกลไกให้ธนาคารและกองทุนพักเงินสดค้างคืน เริ่มลดลงจนเกือบแตะศูนย์ ราคาทองคำก็เริ่มพุ่งขึ้นทันที  และเมื่อยอดเงินดังกล่าวหายไปเกือบหมด ราคาทองคำก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทำไมถึงเกิดแบบนี้ เพราะเมื่อระบบการเงินขาดสภาพคล่องที่พักอยู่ในระบบ สินทรัพย์ค้ำประกันในรูปกระดาษเริ่มสั่นคลอน และเงินทุนจะไหลไปหาสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่าอย่าง ทองคำ ซึ่งไม่สามารถผิดนัดชำระได้  ทองคำในตอนนี้จึงไม่ใช่เพียงสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่มันกำลังกลายเป็น สินทรัพย์ค้ำประกันคุณภาพสูงสุด หรือสินทรัพย์สุดท้ายที่ระบบการเงินยังคงเชื่อมั่น  โลกกำลังส่งสัญญาณเงียบๆ ว่า หากระบบดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบันเกิดรอยร้าว ทองคำนี่แหละคือสิ่งที่ยังคงมีมูลค่า  การเปลี่ยนแปลงนี้อธิบายได้ว่าทำไม มูลค่าตลาดของทองคำ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แม้จะมีการปรับฐานระยะสั้น มันไม่ใช่เรื่องของการไล่ล่ากำไรอีกต่อไป แต่คือการปกป้องความมั่งคั่งจากระบบที่กำลังเปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ  ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง  ขณะที่นักเทรดรายย่อยตื่นตระหนกกับราคาทองที่ร่วงลง ธนาคารกลางกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม พวกเขายังคงเข้าซื้อทองคำอย่างไม่เคยมีมาก่อน  จากข้อมูลล่าสุด ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเฉลี่ยต่อปีราว 830 ตันในปี 2025  เฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 เพียงอย่างเดียว มีถึง 23 ประเทศที่เพิ่มปริมาณสำรองทองคำของตนเอง ซึ่งมากกว่าสองเท่าของค่าเฉลี่ยที่เคยเห็นระหว่างปี 2011 ถึง 2021 และนี่ถือเป็น ปีที่สี่ติดต่อกัน ที่การถือครองทองคำของธนาคารกลางอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำ 1,080 ตันในปี 2022, 1,051 ตันในปี 2023 และ 1,089 ตันในปี 2024 และในปี 2025 แนวโน้มยังคงต่อเนื่องเข้าสู่ ปีที่ 16 ติดต่อกันของการซื้อสุทธิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้  ก่อนปี 2010 ธนาคารกลางเคยเป็น “ผู้ขายสุทธิ” ทองคำติดต่อกันถึง 21 ปี แต่ปัจจุบันพวกเขาแทบหยุดซื้อไม่ได้เลย  สาเหตุสำคัญคือความเชื่อมั่นในระบบการเงินกระแสหลักเริ่มลดลง ทองคำไม่ใช่หนี้สินของใคร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวอชิงตัน ปักกิ่ง หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB)  เมื่อรัฐบาลกระจายความเสี่ยงในเงินสำรอง พวกเขาไม่ได้ “ไล่ราคาทอง” แต่กำลัง “ซื้อประกันทางการเงิน” ต่างหาก  ดังนั้นการเรียกสถานการณ์นี้ว่า “วิกฤตราคาทองคำ” อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะแม้ราคาจะดูเหมือนลดลงบนกราฟ แต่ความเป็นเจ้าของทองคำกำลังเปลี่ยนจากนักเทรดรายย่อยไปสู่คลังสมบัติของรัฐบาลอย่างเงียบๆ  จีนยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง แม้ตลาดกำลังเทขาย  หากคุณสงสัยว่าทำไมราคาทองคำถึงร่วง ทั้งที่ความต้องการดูเหมือนยังสูงลิ่ว คำตอบอยู่ที่กระแสเงินระยะสั้น เพราะความต้องการจากจีนกำลังพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด  ข้อมูลจากตลาดทองเซี่ยงไฮ้ระบุว่า ใบรับประกันทองคำ พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 86,565 กิโลกรัมในเดือนตุลาคม 2025 เพิ่มขึ้นถึง 27 เท่าจากปี 2024 และสูงกว่า 550% ภายในปีนี้เพียงปีเดียว  นี่ไม่ใช่การเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย แต่เป็นการที่ จีนกำลังสะสมสินทรัพย์จริง ท่ามกลางกระแสการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ที่กำลังขยายตัวทั่วโลก  ขนาดของอุปสงค์ในครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่นักเทรดฝั่งตะวันตกทยอยหมุนเวียนเงินออกจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ จีนกลับดูดซับอุปทานเหล่านั้นเข้าสู่การถือครองระยะยาว  กล่าวอีกนัยหนึ่ง การร่วงของราคาทองคำในตอนนี้อาจเป็นเพียง การปรับฐานชั่วคราว สิ่งที่ดูเหมือน “ความอ่อนแอของราคา” อาจเป็นเพียงการเปลี่ยนมือของทองคำจากนักลงทุนต่างชาติไปสู่การถือครองของประเทศขนาดใหญ่แทน  การวิเคราะห์ทางเทคนิคของทองคำ: ทิศทางต่อไปคืออะไร  จากมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำเพิ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาลใกล้ 4,300 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์การกลับตัวอย่างรวดเร็วนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักเทรด และกระตุ้นให้เกิดการขายแบบอัตโนมัติในวงกว้าง   อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 30% ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ตลาดจำเป็นต้อง “พักหายใจ” แม้แต่เทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแกร่งก็ต้องปรับฐานก่อนขึ้นต่อในรอบถัดไป  ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงยืนเหนือโซน 3,400–3,500 ดอลลาร์ โครงสร้างโดยรวมของตลาดยังคงแสดงถึงเสถียรภาพในระยะยาว  ความผันผวนลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นปกติในช่วงที่ตลาดเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ในทุกครั้งที่ราคาทองคำย่อตัวตั้งแต่ปี 2018 ไม่ว่าจะเป็นจากสงครามการค้า วิกฤตโรคระบาด หรือช็อกราคาในตลาด ทองคำมักสร้างฐานใหม่ก่อนดีดขึ้นอีกครั้ง  ด้วยเหตุนี้เอง นักวิเคราะห์ที่ติดตาม แนวโน้มราคาทองคำในอีก 5 ปีข้างหน้า จึงยังไม่รีบประกาศว่ารอบตลาดขาขึ้นของทองคำได้สิ้นสุดลงแล้ว  บทบาทใหม่ของทองคำในระบบเศรษฐกิจโลก  เรื่องราวของทองคำในปี 2025 ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่เครื่องประดับหรือเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ ความเชื่อมั่น หลักประกัน และการคงอยู่ทางการเงิน  เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก ราคาทองคำที่ปรับค่าเงินเฟ้อแล้วยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง แม้ในช่วงภาวะถดถอย ทองคำก็มักทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ที่รักษาเสถียรภาพของตลาด ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งใน การลงทุนไม่เสื่อมค่าจากเงินเฟ้อ ที่แทบจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่ประเภทในตลาดโลก  เมื่อกระแสเงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ทองคำหนึ่งตันมีมูลค่าเท่าไร” แต่คือ “ทองคำหนึ่งตันสะท้อนความเชื่อมั่นมากแค่ไหน”  ตั้งแต่ ราคาทองคำในปี 1980 จนถึง การคาดการณ์ราคาทองคำในปี 2030 ความจริงข้อหนึ่งยังคงเดิมเสมอ ทุกครั้งที่ระบบการเงินเกิดรอยร้าว ทองคำจะถูกประเมินมูลค่าใหม่ให้สูงขึ้นในเชิงมูลค่าที่แท้จริง  ราคาทองคำจะฟื้นตัวหรือไม่  คำตอบสั้นๆ คือ ทองคำไม่จำเป็นต้อง “ฟื้นตัว” เพราะสิ่งที่ต้องฟื้นคือโลกต่างหาก ทุกครั้งที่สภาพคล่องในระบบการเงินตึงตัว ทองคำจะกลายเป็นกระจกสะท้อนสภาวะนั้นโดยตรง  เมื่อสินทรัพย์กระดาษสั่นคลอน ทองคำจะเปล่งประกาย บางครั้งอย่างเงียบๆ และบางครั้งก็อย่างรุนแรง ดังนั้นคำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “ทำไมราคาทองคำถึงขึ้นหรือลง” แต่คือ “ทองคำกำลังส่งสัญญาณอะไรให้กับโลกในเวลานี้”  ไม่ว่าคุณจะจับตา การถือครองทองคำของจีน เงินสำรองของธนาคารกลาง หรือกระแสการไหลเวียนของทองคำในตลาดโลก รูปแบบที่เห็นคือสิ่งเดียวกัน เมื่อความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอน การสะสมทองคำก็เริ่มต้นขึ้น  ดังนั้น แม้ราคาทองคำบนกราฟอาจดูเหมือนกำลังร่วง แต่ภายใต้พื้นผิวนั้น รากฐานใหม่ของความเชื่อมั่นระดับโลกกำลังถูกสร้างขึ้นทีละแท่งทองคำ 

article-thumbnail

2025-10-24 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

AMD vs NVDA: ข้อตกลงใหม่กับ OpenAI หมายถึงอะไรสำหรับนักลงทุน 

การแข่งขันในตลาด AI ยิ่งร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจาก OpenAI ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ ราคาหุ้นของ AMD พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบใหม่ ทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่า AMD กำลังไล่ทัน Nvidia (NVDA) ในศึกชิป AI มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์แล้วหรือไม่  คำถามสำคัญคือ นี่เป็นเพียงการฟื้นตัวระยะสั้น หรือเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอำนาจการแข่งขันของตลาดฮาร์ดแวร์ AI กันแน่  ข้อได้เปรียบลับของ AMD: กลยุทธ์โครงสร้างพื้นฐาน AI  เมื่อพูดถึง AMD หลายคนอาจนึกถึง CPU และชิปกราฟิกสำหรับเล่นเกม แต่แผนต่อไปของ AMD ก้าวไกลกว่านั้น บริษัทกำลังวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นหัวใจสำคัญของ โครงสร้างพื้นฐาน AI ครอบคลุมตั้งแต่ชั้นวางเซิร์ฟเวอร์ ชิป ไปจนถึงระบบที่ขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลซึ่งรองรับโมเดลอย่าง ChatGPT  จุดศูนย์กลางของกลยุทธ์นี้คือ AMD Helios Platform ระบบ AI ขนาดใหญ่ระดับแร็กที่ออกแบบมาเพื่อแข่งขันโดยตรงกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ Nvidia โดย Helios ผสานรวม ชิป AI ของ AMD ส่วนประกอบเครือข่าย และหน่วยความจำทั้งหมดไว้ในแพ็กเกจเดียว  สิ่งนี้สำคัญอย่างไร เพราะการแข่งขันในยุค AI ไม่ได้อยู่แค่ในตลาด GPU อีกต่อไป แต่คือการแข่งขันของผู้ที่สามารถส่งมอบระบบครบวงจรได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า  ข้อตกลงกับ OpenAI จะเป็นจุดเปลี่ยนของ AMD หรือไม่  เมื่อต้นเดือนตุลาคม มีรายงานว่า AMD ทำข้อตกลงใหม่กับ OpenAI ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแผนพัฒนา AI ของบริษัท OpenAI ผู้อยู่เบื้องหลัง ChatGPT กำลังขยายเครือข่ายซัพพลายเออร์เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia และเพิ่มความมั่นคงด้านอุปทานและต้นทุนให้ดียิ่งขึ้น  สำหรับ AMD นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ การที่ชิปของบริษัทถูกนำไปใช้ในโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI แสดงถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในโซลูชัน AI Data Center ของ AMD และนักลงทุนก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน   มูลค่าตลาด AI เพิ่มขึ้นกว่า 630 พันล้านดอลลาร์ในชั่วข้ามคืน  หลังจาก OpenAI ประกาศความร่วมมือกับ Broadcom, Oracle, Nvidia และ AMD มูลค่ารวมของตลาดหุ้นในกลุ่ม AI เพิ่มขึ้นกว่า 630 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในวันเดียว สะท้อนให้เห็นถึงพลังของเทรนด์ AI ที่ยังคงร้อนแรงทั่วโลก  ในบรรดาหุ้นทั้งหมด AMD กลายเป็นดาวเด่น โดยราคาพุ่งขึ้นเกือบ 50% ภายในไม่กี่สัปดาห์ ความตื่นเต้นนี้ไม่ได้มาจากกระแสเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “ศักยภาพที่แท้จริง” ของบริษัท  หาก OpenAI ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการ AI ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก เริ่มหันมาใช้ฮาร์ดแวร์ของ AMD นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “สมดุลใหม่” ที่รอคอยมานานในศึก AMD ปะทะ NVDA  AMD vs NVDA: สงคราม AI ครั้งยิ่งใหญ่  สงครามหุ้น AI ระหว่าง AMD และ Nvidia (NVDA) กำลังก้าวเข้าสู่ระดับใหม่อย่างเต็มตัว ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น AMD เพิ่มขึ้นเกือบ 176% แซงหน้าการเติบโตของ Nvidia ที่ 83% ถือเป็นการพลิกเกมครั้งสำคัญสำหรับบริษัทที่เคยถูกมองว่าเป็นผู้ตาม  ในแง่มูลค่าตลาด Nvidia ยังคงครองอันดับหนึ่งด้วยมูลค่าราว 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับ 650 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ของ AMD แต่ช่องว่างกำลังค่อยๆ แคบลง ขณะที่ Nvidia ยังคงเป็นชื่อหลักในตลาดชิป AI การจับมือระหว่าง AMD และ OpenAI รวมถึงการเปิดตัว Helios Platform ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุนว่า AMD มีศักยภาพในการแย่งส่วนแบ่งตลาดศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วได้มากขึ้น  หากแรงส่งนี้ยังคงต่อเนื่องไปถึงปี 2025 นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ AMD สามารถท้าทายอำนาจการครองตลาดของ Nvidia ได้อย่างแท้จริงในโลกของฮาร์ดแวร์ AI  AMD จะสามารถท้าทายอำนาจผู้นำตลาด AI ของ Nvidia ได้จริงหรือไม่  พูดตามตรง Nvidia ยังคงครองบัลลังก์ในอาณาจักรชิป AI ด้วย GPU สแต็กซอฟต์แวร์ (CUDA) และระบบนิเวศของนักพัฒนาที่แข็งแกร่ง ทำให้ Nvidia มีความได้เปรียบมหาศาล แต่ตอนนี้ AMD ไม่ได้อยู่ในสถานะ “ผู้ตาม” อีกต่อไป เพราะกำลังเดินเกมในมุมที่ต่างออกไป   ผ่านแพลตฟอร์ม AMD Helios บริษัทมุ่งนำเสนอทางเลือกที่ยืดหยุ่น เปิดกว้าง และคุ้มค่ากว่าระบบแบบปิดของ Nvidia เพื่อสร้างระบบนิเวศ AI ที่เข้าถึงได้มากกว่า พูดอีกอย่างคือ ขณะที่ Nvidia สร้าง “สวนปิด” AMD กำลังสร้าง “สนามเปิด” ที่ผู้ให้บริการคลาวด์และสตาร์ทอัพด้าน AI สามารถปรับแต่งและขยายได้อย่างอิสระ  นั่นเองคือเหตุผลที่ตลาด AI ในปี 2025 อาจมีโฉมหน้าที่แตกต่างไปจากวันนี้อย่างสิ้นเชิง  แนวโน้มตลาด AI ปี 2025 กำลังเป็นรูปเป็นร่าง  นักวิเคราะห์คาดว่าการใช้จ่ายทั่วโลกด้าน โครงสร้างพื้นฐาน AI จะทะลุ 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2025 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ชิป เซิร์ฟเวอร์ ระบบเครือข่าย ไปจนถึงโซลูชันแบบครบวงจร และ AMD กำลังมุ่งคว้าส่วนแบ่งที่ใหญ่ขึ้นของตลาดนี้  ชิปรุ่นใหม่ของ AMD AI รวมถึงซีรีส์ MI450 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่น การฝึกสอนและการประมวลผลโมเดล เมื่อจับคู่กับโครงสร้าง Helios Platform และพันธมิตรในตลาดศูนย์ข้อมูล AI ที่เพิ่มขึ้น AMD จึงไม่ใช่แค่ “ตัวเลือกสำรอง” อีกต่อไป แต่กลายเป็นผู้เล่นรายสำคัญที่พร้อมแข่งขันเต็มตัว  ข้อตกลง AMD-OpenAI ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้น หาก AMD สามารถต่อยอดด้วยการทำสัญญากับผู้ให้บริการ Hyperscaler รายใหญ่ เช่น Amazon, Google หรือ Meta รายได้ของบริษัทอาจพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และกลายเป็นแรงขับเคลื่อนครั้งใหญ่ของยุค AI  การวิเคราะห์ทางเทคนิค: หุ้น AMD กำลังอยู่ในจุดเบรกเอาต์  จากมุมมองทางเทคนิค หุ้น AMD ได้ทะลุแนวต้านสำคัญบริเวณ 180 ดอลลาร์ ขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณการซื้อขายที่แข็งแกร่ง หากโมเมนตัมยังคงต่อเนื่อง การปรับตัวขึ้นอาจทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในช่วงสัปดาห์หรือเดือนข้างหน้า  นักเทรดระยะสั้นอาจจับตาการรีเทสต์แนวต้านที่ 227 ดอลลาร์ และแนวรับจิตวิทยาที่ 200 ดอลลาร์  หากราคาปรับลงต่ำกว่า 180 ดอลลาร์ อาจเกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้น แต่แนวโน้มโดยรวมยังคงเป็นบวกในตอนนี้  บทสรุป: ยุคใหม่ของ AMD ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  ความร่วมมือกับ OpenAI อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับ AMD ไม่ใช่แค่ในรอบวัฏจักรของชิปทั่วไป แต่คือการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างเต็มรูปแบบ  ด้วยการขยายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และการพัฒนา Helios Platform รวมถึงความแข็งแกร่งในด้าน ศูนย์ข้อมูล AI AMD กำลังวางตำแหน่งตัวเองให้พร้อมรับการเติบโตของตลาด AI ที่กำลังเฟื่องฟูในปี 2025  อย่างไรก็ตาม การแข่งขันยังไม่จบ เพราะ Nvidia ยังคงมีความได้เปรียบในเชิงเทคนิคและการดำเนินงาน ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่า AMD จะสามารถเปลี่ยนโอกาสนี้ให้กลายเป็นการเติบโตระยะยาวได้หรือไม่  แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เรื่องราวของ AMD ได้เข้าสู่บทใหม่แล้ว และนักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด 

article-thumbnail

2025-10-16 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตลาดคริปโตสูญ $19B: สัญญาณการฟื้นตัวครั้งใหญ่เริ่มขึ้นแล้วหรือไม่? 

ตลาดคริปโตเพิ่งเตือนทุกคนอีกครั้งว่า “ความผันผวน” ไม่เคยจากไปไหนจริงๆ มูลค่ากว่า 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหายไปภายในไม่กี่วัน เมื่อบิตคอยน์ อีเธอเรียม และอัลท์คอยน์ร่วงลงพร้อมกัน เกิดเป็น “การเทขายครั้งใหญ่” ที่ทำให้นักเทรดตื่นตระหนกและความเชื่อมั่นในตลาดดิ่งลง  แต่ที่น่าสนใจคือ ท่ามกลางความตื่นกลัวทั้งหมดนี้ มีสัญญาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่อาจไม่ใช่จุดจบของตลาด แต่อาจเป็นการปูทางไปสู่การกลับตัวครั้งใหญ่รอบใหม่  อะไรเป็นชนวนให้ตลาดคริปโตดิ่งหนัก  การเทขายเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวแบบ “ลดความเสี่ยง” คลาสสิก ผสมกับความกังวลทางเศรษฐกิจมหภาค ข่าวลือเรื่องสภาพคล่องตึงตัว และการปิดสถานะเกินเลเวอเรจอย่างเร่งด่วน  ขณะที่ รัฐบาลสหรัฐยังคงเผชิญภาวะชัตดาวน์ และตลาดเตรียมรับมือกับการลดดอกเบี้ยจากเฟด นักลงทุนเริ่มเร่งลดความเสี่ยงออกจากพอร์ต เมื่อราคาบิตคอยน์หลุดแนวรับสำคัญ จึงเกิดการขายทำลายพอร์ตตามมาอย่างต่อเนื่อง มูลค่ากว่า 19 พันล้านดอลลาร์ในสถานะเลเวอเรจ ถูกล้างออกภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง  ฝั่งอัลท์คอยน์ได้รับผลกระทบหนักที่สุด หลายเหรียญร่วงกว่า 30–40% ภายในชั่วข้ามคืน อย่างไรก็ตาม ขณะที่นักลงทุนรายย่อยตื่นตระหนก ข้อมูลบนเชนกลับสะท้อนภาพที่ต่างออกไป กลุ่มวาฬหรือผู้ถือรายใหญ่กำลังทยอย “เก็บเหรียญ” เข้าพอร์ตในราคาที่ลดลง  มาโครพบกับโมเมนตัม: ทำไมสิ่งนี้ถึงสมเหตุสมผล  สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคในตอนนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อน และนั่นแหละคือช่วงเวลาที่คริปโตมักจะแสดงปฏิกิริยารุนแรงเกินจริง  เงินเฟ้อที่ดื้อรั้น ความคาดหวังอัตราดอกเบี้ยที่หลากหลาย และความตึงเครียดด้านสภาพคล่องทั่วโลก ทำให้นักเทรดยังไม่แน่ใจว่าควรวางกลยุทธ์เพื่อการฟื้นตัว หรือเน้นการป้องกันความเสี่ยงดี โดยทั่วไป […]