สงครามอิหร่าน-อิสราเอล: ราคาน้ำมันจะพุ่งถึง $100 และทองจะทะยานแตะ $4,000 หรือไม่? 

2025-06-20 | ทองคำ , น้ำมัน , ภาพรวมตลาด , ราคาน้ำมัน , อิหร่าน-อิสราเอล

ตะวันออกกลางกลับมาเป็นจุดศูนย์กลางของความตึงเครียดในตลาดโลกอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ใช่แค่การซ้อมรบ ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้ปะทุเป็นสงครามเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเป็นแหล่งน้ำมัน โรงกลั่น และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 

ผลกระทบคืออะไร? ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $100 และราคาทองคำทะยานสู่ระดับใหม่ใกล้ $4,000 

แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป้าหมายราคาซื้อขาย เพราะผลกระทบแผ่กระจายไปถึงค่าเงิน อัตราเงินเฟ้อ คาดการณ์ดอกเบี้ย และพฤติกรรมนักลงทุน 

และนี่คือภาพรวมของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมสิ่งที่นักเทรดและนักลงทุนควรจับตามองต่อไป 

สิ่งที่ทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้แตกต่างคือขนาดและความตรงไปตรงมา ทั้งสองชาติพุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของกันและกันโดยตรง ตั้งแต่โรงกลั่นของอิหร่านไปจนถึงคลังเก็บน้ำมันของอิสราเอล 

เรากำลังหลุดจากโลกของสงครามตัวแทนหรือการก่อวินาศกรรมลับ นี่คือสงครามเปิดที่มีห่วงโซ่อุปทานโลกตกเป็นเป้าหมาย 

และนั่นพาเรามาถึงจุดยุทธศาสตร์อย่างช่องแคบฮอร์มุซ 

ประมาณ 20% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลกต้องผ่านเส้นทางเดินเรือสำคัญนี้ การหยุดชะงักใดๆ อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสามหลักได้ภายในข้ามคืน และในอดีต แค่มีการขู่ปิดช่องแคบก็เพียงพอจะจุดชนวนให้ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดแล้ว 

หากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องทาง หรือการขนส่งกลายเป็นความเสี่ยงเกินไป ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ที่ระดับ $110–120 จะไม่ใช่การคาดการณ์ที่เกินจริงอีกต่อไป แต่นี่คือ “กรณีฐาน” ที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริง 

ราคาน้ำมันเริ่มตอบสนองต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ฟิวเจอร์สน้ำมัน WTI และ Brent ต่างพุ่งขึ้นจากการคาดการณ์ว่าการหยุดชะงักของอุปทานอาจทำให้ตลาดที่เปราะบางอยู่แล้วตึงตัวขึ้นไปอีก บวกกับการเก็งกำไรและต้นทุนประกันเรือบรรทุกที่เพิ่มขึ้น ทำให้เห็นภาพชัดว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะแหวกแนวต้านสำคัญได้อย่างรวดเร็ว 

ในเชิงเทคนิค ราคาน้ำมันกำลังทดสอบเส้นแนวโน้มขาลงหลักที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้านมาตั้งแต่ปี 2566 หากราคาสามารถเบรกทะลุเส้นนี้ได้อย่างชัดเจน ก็มีแนวโน้มจะพุ่งขึ้นไปแตะช่วง $90–100 ด้วยแรงหนุนจากโมเมนตัม 

เรากำลังก้าวเข้าสู่โซนที่ข่าวพาดหัวใหม่ทุกชิ้นเพิ่มความผันผวนให้ตลาด นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของบาร์เรล แต่มันคือเรื่องของ “ความรู้สึกของตลาด” ทั้งภาพลักษณ์ ความกลัว และเบี้ยความเสี่ยง และนี่แหละคือช่วงเวลาที่สินทรัพย์โภคภัณฑ์เริ่มวิ่งแรง 

ในยามสงคราม ทองคำไม่ใช่แค่สินทรัพย์ปลอดภัย แต่กลายเป็น “สัญลักษณ์” ที่สะท้อนความเชื่อมั่น ทองคำเป็นเครื่องป้องกันความวุ่นวาย เงินเฟ้อ และการควบคุมทางการเงิน เมื่อดอลลาร์ถูกกดดันและเฟดไม่มีทางเลือก ทองคำจึงมีแนวโน้มทะลุจุดสูงสุดเดิม และเคลื่อนตัวไปสู่เป้าหมาย $4,000 ได้ในที่สุด 

ทางเทคนิค ทองคำกำลังสร้างรูปแบบสามเหลี่ยมขาขึ้นใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ $3,500 หากสามารถทะลุแนวต้านนี้ได้อย่างชัดเจน จะเป็นสัญญาณขาขึ้นระลอกใหม่ โดยมีโซนถัดไปที่ควรจับตามองคือ $3,800 และ $4,000 

หากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะหากพันธมิตรหรือประเทศเพื่อนบ้านเข้าร่วม ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เม็ดเงินจากสถาบันการเงินจะไหลเข้าสู่ตลาดโลหะมีค่ามากยิ่งขึ้น 

ทศวรรษ 2020 อาจกลายเป็นยุคของทองคำอย่างแท้จริง และสงครามครั้งนี้อาจเป็นตัวเร่งสำคัญที่ผลักดันราคาขึ้นสู่เฟสถัดไป 

โดยปกติ เมื่อเกิดสงครามควบคู่กับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เฟดมักจะตอบสนองด้วยการลดดอกเบี้ย แต่ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นกลับสร้างปัญหาใหม่: เงินเฟ้อ สิ่งที่การลดดอกเบี้ยควรควบคุม อาจกลับมารุนแรงขึ้นอีกจากแรงกระแทกด้านพลังงาน 

แล้วจะเกิดอะไรขึ้น หากตลาดคาดหวังการผ่อนคลาย แต่ภาพรวมเศรษฐกิจกลับเรียกร้องให้ “คุมเข้ม” มากขึ้น? 

เราเคยเห็นสถานการณ์นี้มาแล้ว ลองนึกถึงภาวะ stagflation ยุค 1970s หรือช่วงต้นปี 2565 

หากราคาน้ำมันพุ่งขึ้น และ CPI เริ่มกลับมาสูงอีกครั้ง เฟดอาจไม่มีทางเลือก นอกจากคงดอกเบี้ยในระดับสูงเป็นเวลานาน หรือไม่ก็เสี่ยงเสียการควบคุมความคาดหวังเงินเฟ้อไปโดยสิ้นเชิง 

ไม่ว่าทางเลือกไหน ดอลลาร์ก็อาจจะอ่อนตัวลง และนั่นจะพาเราต่อไปยัง “โดมิโน” ตัวถัดไป 

ดอลลาร์เคยเป็น “สินทรัพย์หลบภัย” ของโลกในช่วงความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ครั้งนี้ สถานการณ์อาจเปลี่ยนไป 

ใช่ ความกลัวอาจกระตุ้นให้เกิดความต้องการ USD ในระยะสั้น แต่เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น และเฟดต้องเลือกระหว่าง “เงินเฟ้อ” กับ “ภาวะถดถอย” การสนับสนุนดอลลาร์นั้นอาจอยู่ได้ไม่นาน ตลาดกำลัง “price in” ความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ย แต่เงินเฟ้อที่ยังเหนียวแน่นอาจทำให้เฟดต้องเลื่อนการผ่อนคลายออกไป และติดกับดักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

กราฟข้างต้นเผยให้เห็นเรื่องใหญ่กว่าที่ตาเห็น: ทุนสำรองทั่วโลกกำลังเปลี่ยนขั้ว สัดส่วนทองคำพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดอลลาร์ดิ่งลงอย่างหนัก ธนาคารกลางหลายแห่งกำลังกระจายความเสี่ยง ไม่ใช่แค่เพื่อผลตอบแทน แต่เพื่อความปลอดภัยจากความผันผวนของสกุลเงินดอลลาร์ 

เมื่อบวกกับความต้องการถือพันธบัตรสหรัฐจากต่างชาติที่ลดลง และดัชนี DXY ที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ข้อความก็ชัดเจน: ดอลลาร์สหรัฐกำลังสูญเสียความเป็นผู้นำ และในช่องว่างนั้น ทองคำกับสินค้าโภคภัณฑ์ก็เข้ามาแทนที่ 

ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลทวีความรุนแรง ก็เริ่มมีการคาดเดาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อาจพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติสงคราม ก่อนที่สถานการณ์จะเลยเถิดจนควบคุมไม่ได้ 

ทำไมเขาถึงควรเข้ามาแทรก? เพราะสงครามยืดเยื้อในตะวันออกกลาง อาจทำลายหนึ่งในเป้าหมายเศรษฐกิจหลักของทรัมป์: การลดเงินเฟ้อ 

การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันหมายถึงต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ค่าขนส่งที่สูงขึ้น และในที่สุดก็คือ เงินเฟ้อระลอกใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์ไม่ต้องการที่สุด 

หากราคาน้ำมันดิบพุ่งทะลุ $100 และยืนเหนือระดับนั้นต่อเนื่อง จะทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น ตั้งแต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไปจนถึงนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ 

ด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์บางรายคาดว่า ทรัมป์อาจใช้บทบาทของตนเพื่อผลักดันให้เกิดการหยุดยิง หรืออย่างน้อยก็ช่วงเวลาพักรบชั่วคราว หากสำเร็จ ก็อาจช่วยให้ตลาดน้ำมันคลายความตึงเครียด ราคาทองคำลดลง และทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่กรอบเป้าหมายอีกครั้ง 

ตลาดอาจจะยินดีกับท่าทีแบบนี้ แต่ตราบใดที่สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยน แรงกดดันจากความผันผวนในตลาดพลังงาน โลหะมีค่า และสกุลเงิน ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป 

สินทรัพย์ ปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่ต้องติดตาม แนวโน้มตลาดที่อาจเกิดขึ้น 
น้ำมัน ความตึงเครียดที่ช่องแคบฮอร์มุซ ภาวะช็อกด้านอุปทานอาจดันราคาทะลุ $100 
ทองคำ สัญญาณเงินเฟ้อ การไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย  ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นอาจดันทองคำสู่ $4,000 
ดอลลาร์สหรัฐ นโยบายเฟด แนวโน้มลดการใช้ดอลลาร์ การลดความเสี่ยงและย้ายทุนสำรองอาจกดดันค่าเงินดอลลาร์ 
หุ้น ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น  ความผันผวนเพิ่มขึ้น มีโอกาสเกิดการหมุนเวียนในกลุ่มอุตสาหกรรม 

สงครามอิหร่านกับอิสราเอลไม่ใช่แค่ความขัดแย้งในภูมิภาคอีกต่อไป แต่เป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการปรับราคาตลาดทั่วโลก 

น้ำมัน ทองคำ และดอลลาร์ กลายเป็นศูนย์กลางของพายุเศรษฐกิจรอบใหม่นี้ นักเทรดและนักลงทุนต้องมีสติ จับตาระดับราคา ไม่ตื่นตระหนก และบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ 

ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ พาดหัวข่าวสามารถขยับตลาดได้ แต่ความมีวินัยต่างหากที่ปกป้องพอร์ตของคุณได้ดีที่สุด 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ Doo Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-07-31 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ–อียู มาแล้ว: แล้วจีนล่ะ จะตามมาหรือไม่? 

เมื่อทรัมป์และฟอน แดร์ ไลเอิน จับมือกันที่สกอตแลนด์ในวันที่ 27 กรกฎาคม มันไม่ใช่แค่ภาพที่สวยงามต่อหน้ากล้อง แต่มันคือจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่เป็นจริง  ข้อตกลงการค้าฉบับใหญ่ระหว่างอียูและสหรัฐฯ ถูกปิดดีล ภาษีถูกลดลง และตลาดก็หายใจได้ทั่วท้อง แต่ตอนนี้สปอร์ตไลต์กำลังหันไปที่จีนอย่างรวดเร็ว และทุกสายตากำลังจับจ้องอยู่  พวกเขาจะเป็นรายต่อไปที่เข้าร่วมดีลหรือไม่… หรือสงครามการค้ากำลังจะยืดเยื้อต่อไป?  ประเด็นสำคัญจากข้อตกลงการค้าระหว่างอียู–สหรัฐฯ  เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2025 สหรัฐฯ และอียูได้ตกลงกันในข้อตกลงที่จะกำหนด ภาษี 15% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่จากอียูที่เข้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอัตราครึ่งหนึ่งจากที่เคยขู่กันไว้ และช่วยป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามต่อไป รายละเอียดสำคัญได้แก่:  ตลาดตอบรับอย่างดีที่สงครามการค้าถูกหลีกเลี่ยง ดัชนีฟิวเจอร์สของทั้งสหรัฐฯ และยุโรปปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์บางส่วนเตือนว่าข้อตกลงนี้อาจเทน้ำหนักไปทางฝั่งสหรัฐฯ มากเกินไป  ทำไมข้อตกลงนี้จึงสำคัญต่อตลาด  สำหรับวอลล์สตรีท นี่ไม่ใช่แค่การจับมือธรรมดา แต่มันคือความโล่งใจ ตลาดให้ความสำคัญสูงสุดกับสิ่งหนึ่งคือ ความชัดเจน และนั่นคือสิ่งที่ข้อตกลงการค้าระหว่างอียู–สหรัฐฯ ฉบับนี้มอบให้  ดัชนีหุ้นหลายตัวกำลังเข้าใกล้จุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง และบรรยากาศ “รับความเสี่ยง” ก็กลับมาครองถนนอีกครั้ง แต่จุดที่ต้องระวังคือ แม้ภาษีใหม่จะดูเบากว่าการขู่ในอดีต แต่ก็ยังเพิ่มต้นทุนให้ผู้ส่งออกฝั่งยุโรป และอาจส่งผลถึงผู้บริโภคชาวอเมริกันด้วย  ผู้เล่นระดับโลกในอุตสาหกรรมรถยนต์ ยา และเซมิคอนดักเตอร์ ตอนนี้ต้องเล่นตามกฎใหม่ […]

article-thumbnail

2025-07-24 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

หุ้น AI แพงเกินไปแล้วหรือเพิ่งเริ่มต้นกันแน่? 

หุ้น AI กลายเป็นเป้าหมายหลักของตลาดมานานกว่าหนึ่งปี  จากการที่ Nvidia ทำสถิติแตะมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ไปจนถึงการประกาศด้าน AI ครั้งใหญ่ของ Tesla ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาด นักลงทุนบน Wall Street ดูเหมือนจะยังไม่อิ่มตัว แม้แต่หุ้นอย่าง AMD และ IBM ที่เคยตามหลัง ก็ยังได้อานิสงส์จากกระแสนี้เช่นกัน  แต่คำถามที่นักลงทุนมือโปรเริ่มถามคือ: นี่คือจุดเริ่มต้นของยุค AI จริงๆ หรือเรากำลังเผชิญฟองสบู่แบบยุคดอทคอมอีกครั้ง?  เมื่อเรื่องราวในตลาดดังเกินไป และราคาขยับขึ้นแบบก้าวกระโดด ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกแยะระหว่างความจริงกับกระแส  มาลองเจาะดูทั้งมุมมองฝั่งกระทิง ความกังวลเรื่องฟองสบู่ และสัญญาณที่นักเทรดทุกคนควรจับตาในตอนนี้  กระแสหุ้น AI ไม่ใช่เรื่องหลอก ต้องชัดเจนก่อนว่านี่ไม่ใช่ฟองสบู่แบบมีม AI ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล่าเพื่อปั่นหุ้น เงินก้อนจริงๆ กำลังไหลเข้าสู่ตลาด  บริษัทยักษ์ใหญ่ใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์กับชิป ศูนย์ข้อมูล และจ้างวิศวกรกันเหมือนย้อนกลับไปปี 1999 แค่ Nvidia เพียงรายเดียวก็ทำรายได้จากศูนย์ข้อมูลกว่า 26,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ผ่านมา โตสามหลักเมื่อเทียบกับปีก่อน  นี่คือความต้องการที่มีอยู่จริง Microsoft กำลังปล่อย […]

article-thumbnail

2025-07-17 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมบิตคอยน์ถึงกำลังพุ่งขึ้น และอะไรคือปัจจัยเบื้องหลัง 

บิตคอยน์ ทำสถิติใหม่อีกครั้ง พุ่งทะลุ 123,000 ดอลลาร์ ดึงเหล่านักเทรดให้กลับเข้าสู่โหมดเสี่ยงเต็มพิกัด แต่คำถามคือ นี่เป็นเพียงอีกหนึ่งรอบของกระแสเก็งกำไร หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างแล้วจริงๆ?  ถ้ามองลึกลงไป จะเห็นว่ามีพลังขับเคลื่อนสำคัญสองอย่างที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งหลายคนยังไม่ทันเชื่อมโยงจุดเหล่านี้เข้าด้วยกัน  สิ่งแรกกำลังคลี่คลายอยู่ในวอชิงตัน ขณะที่อีกกระแสหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ในระบบการเงินโลก โดยส่งสัญญาณล่วงหน้าแบบเดียวกับที่เคยหนุนให้บิตคอยน์พุ่งแรงมาแล้วหลายรอบ  และเมื่อรวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมบิตคอยน์ถึงกำลังไต่ระดับขึ้น และทำไมรอบนี้อาจไม่ใช่แค่การพุ่งขึ้นชั่วคราวเหมือนที่ผ่านมา  กฎหมายคริปโตฉบับใหม่เปลี่ยนเกมทั้งกระดาน  ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนบิตคอยน์ต้องเผชิญกับคำถามคาใจหนึ่งที่ยังไร้คำตอบจากฝั่งอเมริกา: สหรัฐฯ เอาจริงเอาจังกับคริปโตแค่ไหนกันแน่?  ตั้งแต่กรณีที่ SEC ไล่จัดการกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนต่างๆ ไปจนถึงการถกเถียงว่า ETH หรือ stablecoin ควรถูกจัดเป็นหลักทรัพย์หรือไม่ และการขาดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนโดยสิ้นเชิง ทำให้เงินทุนจากสถาบันส่วนใหญ่มักเลือกอยู่เฉยๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปแล้ว  สภาผู้แทนราษฎรกำลังผลักดันกฎหมายคริปโตชุดใหญ่หลายฉบับ โดยเฉพาะร่างกฎหมาย Financial Innovation and Technology for the 21st Century Act ที่ถูกออกแบบมาเพื่อระบุให้ชัดเจนว่าใครมีหน้าที่ดูแลอะไร มอบอำนาจกำกับดูแลบิตคอยน์และคริปโตประเภทอื่นให้กับ CFTC มากขึ้น พร้อมทั้งวางกรอบการขอใบอนุญาตระดับชาติให้กับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนและ stablecoin อย่างเป็นทางการ  ทำไมบิตคอยน์ถึงชอบร่างกฎหมายคริปโต  บิตคอยน์ไม่ได้พุ่งขึ้นเพราะมีร่างกฎหมายบางฉบับที่อาจจะผ่าน […]